【ความรู้สึกหลังดูอนิเมะ】『มาเอบาชิ วิชซ์』เป็นเรื่องแนวสาวน้อยเวทมนตร์ผสมไอดอลที่มีเนื้อหาเชิงสังคม ถ่ายทอด “ความฝันที่ไม่อาจเป็นจริงได้ด้วยเวทมนตร์” และ “สิ่งที่อยู่หลังจากนั้น”

Share

เพราะมาเอบาชิวิชซ์ที่เพิ่งฉายตอนจบไปเมื่อไม่นานนี้เป็นอนิเมะที่ยอดเยี่ยมมากจึงทำให้ผมกลับมาเขียนบทความแนะนำทีวีอนิเมะอีกครั้งในรอบหลายปีที่เว็บไซต์ Famitsu.com แม้จะมีอนิเมะที่ทำให้ผมหลงใหลอยู่หลายเรื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ค่อยมีเรื่องไหนที่ทำให้ผมรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า “หากไม่พยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อถ่ายทอดเสน่ห์ของเรื่องนี้ด้วยคำพูดของตัวเองให้คนอื่นรู้ ผมจะต้องเสียใจแน่ๆ” อย่างเช่นเรื่องนี้ ถ้าหากเหตุผลที่ผมรู้สึกเช่นนั้นสามารถสื่อถึงใครหลายๆ คนได้บ้าง ผมก็จะดีใจมาก

‘มาเอบาชิวิชซ์’ เป็นอนิเมะแบบไหน?

มาเอบาชิวิชซ์ เป็นทีวีอนิเมะต้นฉบับที่มีฉากหลังอยู่ในเมืองมาเอบาชิ จังหวัดกุนมะ ในฉากเปิดและตลอดทั้งเรื่องจะได้เห็นทิวทัศน์หลากหลายที่มีอยู่จริงในเมืองมาเอบาชิปรากฏให้เห็น

ตัวเอกของเรื่องคือเด็กสาวมัธยมปลาย 5 คน ได้แก่ อาคากิ ยุยนะ, นิอิซาโตะ อาสึ, คิตาฮาระ เคียวกะ, มิตสึมาตะ ช็อคโก้ และคามิอิซุมิ ไม (นามสกุลของแต่ละคนตั้งชื่อตามชื่อสถานที่หรือสถานีในเมืองมาเอบาชิ) พวกเธอได้รับการชี้นำจากกบผู้มีพลังวิเศษชื่อ เคโรปเป้ และเริ่มต้นเส้นทางการฝึกฝนเพื่อเป็น “แม่มดฝึกหัด” ที่มุ่งหวังจะกลายเป็นแม่มดเต็มตัว

ฝึกเป็นแม่มดในร้านดอกไม้ ร้องเพลง เต้น และให้กำลังใจลูกค้า

สถานที่ที่เด็กสาวทั้งห้าคนฝึกฝนเวทมนตร์คือ “ร้านดอกไม้” ที่เกิดจากพลังแห่งความปรารถนา ร้านดอกไม้นี้มีทางเข้าอันพิเศษ ซึ่งจะปรากฏขึ้นทั่วเมืองมาเอะบาชิเมื่อได้รับพลังจากจิตใจของผู้ที่ “อยากทำให้ความปรารถนาเป็นจริง” ลูกค้าที่ถูกนำทางมาด้วยประตูเรืองแสงจะได้มาที่ร้านดอกไม้นี้ และเมื่อพวกเธอช่วยทำให้ความปรารถนาของลูกค้าเป็นจริง ก็จะได้รับ “แต้มเวทมนตร์” เมื่อสะสมแต้มได้ครบ “99999” แต้ม เด็กสาวทั้งห้าก็จะกลายเป็นแม่มดเต็มตัว… ว่ากันว่าเป็นเช่นนั้น

แม้จะบอกว่า “ทำให้ความปรารถนาเป็นจริง” แต่วิธีการที่ถูกต้องนั้นก็แตกต่างกันไปในแต่ละคน เช่น ถ้ามีลูกค้าที่มีความฝันในอนาคตที่ต้องการจะไล่ตาม แต่ถูกคนรอบข้างคัดค้านอยู่ล่ะก็ ความปรารถนาของเขาอาจจะเป็น “การได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อยืนยันว่าความฝันนั้นมีความหมาย และได้รับแรงผลักดันให้ก้าวต่อไป” เพื่อให้ “หัวใจของลูกค้าเบ่งบานเหมือนดอกไม้” พวกเธอจึงมักจะร้องเพลงและเต้นไปด้วย ฉากการแสดงสดที่ถ่ายทอดถึงช่วงเวลาที่หัวใจของแต่ละคนได้รับการปลดปล่อยนั้นสวยงามตระการตา เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของเรื่องนี้

บทโทรทัศน์โดยคุณโยชิดะ เอริกะ จาก Tora ni Tsubasa (ละครเช้า)

บทโทรทัศน์หลักและโครงเรื่องของมาเอบาชิ วิชซ์ เขียนโดยคุณโยชิดะ เอริกะ ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักจากการเขียนบทละครเช้า Tora ni Tsubasa และยังเคยดูแลโครงสร้างเรื่องของอนิเมะ Bocchi the Rock! ด้วย เธอเป็นนักเขียนบทที่ข้ามไปมาระหว่างโลกของอนิเมะกับละครโทรทัศน์อย่างสม่ำเสมอ ผลงานมากมายล้วนเป็นเรื่องที่โดดเด่นและเป็นที่พูดถึง โดยเฉพาะผลงานที่เป็น “ออริจินอล” ซึ่งไม่ดัดแปลงจากสื่ออื่น มักจะมีลักษณะเฉพาะตัวคือ มีมุมมองวิพากษ์ต่อสังคม และ เปี่ยมด้วยกำลังใจอบอุ่นที่ส่งถึงผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก

มาเอบาชิวิชซ์ เองก็ถ่ายทอดลักษณะเฉพาะตัวแบบนั้นไว้ได้อย่างครบถ้วน แถมยังเสริมด้วยฉากไลฟ์อันสวยงามที่ “ทำได้เฉพาะในอนิเมะเท่านั้น” กลายเป็นผลงานใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์และไม่มีใครเหมือนอย่างแท้จริง

เป็นอนิเมะแนวท้องถิ่น? สาวน้อยเวทมนตร์? หรือไอดอลกันแน่?

แม้จะอ่านเนื้อหามาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนอาจยังรู้สึกว่า “มาเอบาชิวิชซ์เป็นอนิเมะแบบไหนกันแน่?” ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะแม้แต่ผู้เขียนเอง เมื่อถูกถามว่า “เรื่องนี้เป็นอนิเมะแบบไหนเหรอ?” ก็ยังมักพูดไม่ออก ไม่ใช่แค่ผู้เขียนเท่านั้น คนที่หลงใหลในเรื่องนี้หลายคนต่างก็รู้สึกแบบเดียวกัน เพราะมันเป็นเรื่องที่ ความละเอียดในแต่ละองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ นั้นน่าหลงใหลจนไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูดสั้นๆ ได้ จากตรงนี้ไป ผู้เขียนอยากจะเน้นประเด็นที่อยากแนะนำเป็นพิเศษ แม้จะหลีกเลี่ยงการสปอยล์โดยตรง แต่ด้วยลักษณะของบทความที่เขียนขึ้นหลังจากชมจนถึงตอนจบแล้ว จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเผยแง่มุมบางอย่างของเนื้อเรื่อง หากคุณสนใจแม้เพียงเล็กน้อย ก็อยากให้ลองปิดบทความนี้แล้วไปดูอนิเมะจริงๆ เลยจะดีกว่า!

…แต่ก่อนหน้านั้น ขอให้ช่วยอ่านส่วนที่จะเขียนต่อไปนี้ก่อน

อยากให้ดูถึงตอนที่ 3 ให้ได้!

สิ่งที่อยากจะบอกเป็นอันดับแรกคือ:

“ยังไงก็ขอให้ดูให้ถึงตอนที่ 3 ก่อน!”

มาเอบาชิวิชซ์เป็นเรื่องที่ดูแค่ตอนแรกอาจยังจับทิศทางไม่ค่อยถูกว่า “สุดท้ายแล้ว มันเป็นอนิเมะแบบไหนกันแน่?” ด้วยสไตล์บทสนทนาที่ค่อนข้างเฉพาะตัว และความร่าเริงแบบไม่รู้สึกรู้สาของยุยนะ ที่ทำให้ อาสึ รู้สึกหงุดหงิดและมีปฏิกิริยาแรงๆ จนบรรยากาศช่วงแรกๆ ของเรื่องดูค่อนข้างตึงเครียด และบางคนอาจจะรู้สึกว่า “ไม่แน่ใจเลยว่าจะชอบตัวละครพวกนี้ได้ไหม”

ในจุดนี้ สิ่งที่ทำได้ก็มีแค่…

“ลองอดทนดูต่ออีกนิดไม่ได้เหรอ?”

อย่างใน Pretty Rhythm: Rainbow Live ตอนแรกหลายคนก็อาจไม่ชอบ เร็นโจจิ เบรุ หรือ โมริโซโนะ วากานะ ใช่ไหมล่ะ? แต่พอถึงตอนที่ 25 ตอน “ลาก่อนนะ เบรุ” ทุกคนกลับรักตัวละครพวกนั้นไปแล้ว ในระดับเดียวกันนี้เอง คุณจะได้สัมผัสกับความรู้สึก “เปลี่ยนมุมมอง” ต่อสาวๆ ในเรื่องนี้อย่างแน่นอน

…ว่าแต่ว่า คุณยังไม่เคยดู Pretty Rhythm: Rainbow Live เหรอ!? งั้นก็ค่อยไปดูทีหลังก็ได้ ส่วนถ้าเป็นผลงานของ โยชิดะ เอริกะ เหมือนกันล่ะก็ ให้นึกถึง “โยเนะซัง” หรือ “โทโดโรกิ” จาก Tora ni Tsubasa ก็พอช่วยให้เห็นภาพได้ จุดที่เป็นหมุดหมายสำคัญ ที่การขุดลึกตัวละครหลักเริ่มได้ผลจนดึงดูดคนดูได้จริงๆ ก็คือตอนที่ 3 นั่นเอง เพราะงั้น อยากให้ดูถึงจุดนั้นก่อนจริงๆ โดยเฉพาะคนที่คิดว่า “อาสึช่างเป็นสาวปากร้ายอะไรอย่างนี้!” ยิ่งควรดูเลย!

หลังจากนั้น เนื้อเรื่องจะค่อยๆ ขุดลึกลงไปใน “เหตุผลที่แต่ละคนอยากเป็นแม่มด” และเมื่อพวกเธอเริ่มเข้าใจกันและกันมากขึ้น มิตรภาพระหว่างทั้ง 5 คนก็ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นตามไปด้วย และผู้ชมเองก็เช่นกัน เมื่อรู้ตัวอีกที ก็คงจะหลงรักทั้ง 5 คนเข้าเต็มๆ แล้ว และยิ่งเข้าใจพวกเธอมากเท่าไร ก็จะยิ่งอินกับเนื้อเรื่องมากขึ้นเท่านั้น

สิ่งที่ทำให้ “มุมมองต่อแต่ละตัวละครเปลี่ยนไป” ในเรื่องมาเอบาชิวิชซ์ ก็คือการดำเนินเรื่องที่เน้น “บทสนทนา” ระหว่างตัวละครเป็นหลัก ซึ่งช่วยให้เราได้เห็น “ความเป็นมนุษย์” ที่ซ่อนอยู่ภายในใจของแต่ละคนเผยออกมาอย่างชัดเจน ตอนแรกๆ อาจรู้สึกว่าทั้ง 5 คน “ดูเป็นตัวละครอนิเมะเกินไป” แต่เมื่อเรื่องราวค่อยๆ เผยให้เห็นว่าพวกเธอใช้ชีวิตมายังไง เจอกับความขัดแย้งแบบไหน ผ่านบทสนทนาที่มีเหตุมีผล พฤติกรรมและคำพูดของพวกเธอก็จะเริ่มเข้าใจได้ และทำให้รู้สึกว่า “พวกเธอสมจริง” มากๆ

ยุยนะที่ดูเพี้ยนๆ ในตอนแรก แต่จริงๆ แล้ว เธอเป็นคนที่แยกแยะประเด็นได้ดีมาก เช่น ประโยคที่เธอพูดว่า

               •             “ถ้ารู้ว่าตัวเองผิดก็คือโอเคแล้ว”

               •             “เป็นเพื่อนกันก็ใช่ว่าต้องเล่าเรื่องทุกอย่างให้กันฟัง”

คำพูดเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเธอสามารถเลือกประเด็นที่สำคัญออกมาเพื่อทำให้การสนทนาระหว่างเพื่อนและลูกค้าเป็นไปอย่างราบรื่น และทำให้คนดูรู้สึก “วางใจที่จะฟัง” การแลกเปลี่ยนระหว่างตัวละคร และด้วย “บทสนทนาเพื่อให้หัวใจของลูกค้าเบ่งบานเหมือนดอกไม้” นั้นเอง

ยุยนะ, อาสึ, เคียวกะ, ช็อคโก้ และไม ก็กลายเป็นผู้ที่หัวใจของพวกเธอเองค่อยๆ เบ่งบานเช่นกัน

เมื่อคุณได้รู้จักพวกเธอมากขึ้นและกลับมาดูตอนที่ 1 ใหม่อีกครั้ง คุณจะเข้าใจว่า “ตอนแรกๆ” คือกระบวนการที่จำเป็นจริงๆ จะสามารถอ่านเข้าใจถึงจิตใจของแต่ละคนจากบทพูดทุกประโยคและจะรู้สึกว่าน่าสนใจกว่ารอบแรกอย่างมาก

เวทมนตร์เป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” เท่านั้น — การเล่าเรื่องที่มองตรงไปยังความจริงของชีวิต

ในมาเอบาชิวิชซ์ แม้จะสามารถใช้เวทมนตร์ได้ ก็ใช่ว่าจะสามารถ “แก้ปัญหาได้อย่างหมดจดในพริบตา” เสมอไป เวทมนตร์ในเรื่องนี้ถูกวาดภาพให้สามารถทำอะไรได้หลากหลาย เช่น ย้อนเวลา เพิ่มจำนวนผู้ติดตามในโซเชียลมีเดีย (จริงๆ นะ!?) แต่เนื้อเรื่องก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความสุขที่ได้มาแบบฉาบฉวยเหล่านี้ ไม่ได้นำไปสู่การเติมเต็มความฝันอย่างแท้จริง เหตุผลก็คือ ความทุกข์และความกังวลที่มนุษย์ต้องเผชิญในชีวิตจริงนั้น โดยมากแล้ว ไม่มีทางออกง่ายๆ เลย และตัวอนิเมะก็ถ่ายทอดเรื่องนี้ออกมาอย่างซื่อตรง

ในความเป็นจริง ปัญหาหลายๆ อย่างไม่สามารถจบได้ด้วยการ “จัดการต้นตอแล้วทุกอย่างจบแฮปปี้” บางปัญหาอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อเผชิญหน้าและปรับตัวอยู่กับมันก็มี

เวทมนตร์เพียงอย่างเดียวไม่อาจทำให้ฝันเป็นจริงได้แต่ถ้ามีคนที่เข้าใจ อยู่เคียงข้าง หรือคอยสนับสนุนเรา ก็สามารถกลายเป็นแสงสว่างในชีวิตได้

ถ้าเราไม่รู้ว่ามีระบบสนับสนุนหรือหนทางที่พอจะพึ่งพาได้อยู่ การมีใครสักคนที่ชี้แนะก็อาจกลายเป็นความช่วยเหลืออันล้ำค่า ในเรื่องนี้ เวทมนตร์จึงไม่ได้มีไว้เพื่อแก้ปัญหาโดยตรง แต่มันมีไว้เพื่อ “เปิดโอกาสให้เกิดการเชื่อมโยงไปยังความเป็นจริง” และ ทุกตอนจบของแต่ละตอนก็ล้วนมีจุดลงจอดที่ยึดอยู่กับความเป็นจริงอย่างแน่วแน่

เรื่องราวที่ใส่ “คำอธิษฐาน” ให้กับผู้คน

ขอเล่าเรื่องส่วนตัวสักเล็กน้อย — ผู้เขียนทำงานเป็นนักเขียนเกมในชีวิตประจำวัน แต่ก็ถือว่าการเผยแพร่เสน่ห์ของอนิเมะสำหรับเด็กผู้หญิงเป็น “พันธกิจชีวิต” อีกด้านหนึ่ง เหตุผลที่ชอบอนิเมะแนวเด็กผู้หญิงนั้น แน่นอนว่าก็เพราะตัวละครดูน่ารัก เท่ และมีการแสดงที่น่าประทับใจ แต่ที่มากไปกว่านั้น คือ เพราะรู้สึกได้ว่า “ผลงานเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นด้วยคำอธิษฐานว่า เด็กๆ ที่รับชมจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคงและเข้มแข็ง” — และนั่นคือสิ่งที่จับใจมากที่สุด

มาเอบาชิวิชซ์ไม่ใช่อนิเมะเด็กผู้หญิงโดยตรง แต่ในบรรดาอนิเมะที่ออกฉายทางทีวีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แทบไม่มีเรื่องไหนที่สัมผัสได้ถึง “ความตั้งใจแน่วแน่ที่จะส่งต่อพลังใจให้ผู้คนที่กำลังเผชิญกับปัญหาในชีวิตจริง” ได้มากเท่าเรื่องนี้ ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกนี้ก็จากฉากหนึ่งในเรื่อง — มีตัวละครหนึ่งไปขอความช่วยเหลือจากโรงเรียนเรื่องปัญหาครอบครัว ตอนแรก “ผู้ใหญ่คนแรกที่ได้รับการขอความช่วยเหลือรู้สึกลำบากใจ” แต่ “ผู้ใหญ่อีกคนที่เห็นเหตุการณ์เข้าได้เชื่อมต่อให้ความช่วยเหลือเกิดขึ้นได้”

ฉากนี้แสดงให้เห็นว่า…

ถ้าอนิเมะเล่าเหตุการณ์แบบ “ผู้ใหญ่คนแรกรีบช่วยเหลือโดยไม่ลังเล” ล่ะก็คนดูที่กำลังเผชิญสถานการณ์คล้ายๆ กันในชีวิตจริง หากพยายามขอความช่วยเหลือแล้วถูกปฏิเสธทันที ก็อาจรู้สึกว่า

“เห็นไหม…โลกความจริงมันไม่เหมือนในอนิเมะ” แล้วก็ปิดใจในทันที

เพราะแบบนั้น การเล่าเรื่องที่ว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่มีความรู้หรือความสามารถในการช่วยเหลือ แต่ที่ไหนสักแห่งในโลกใบนี้ ยังมีคนที่พร้อมจะช่วยเหลืออยู่”

เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในฉากนั้น

รายละเอียดเหล่านี้ — ที่พิจารณาถึงผลกระทบในโลกความจริงอย่างรอบคอบ —สามารถพบได้ในทุกมุมของเรื่องมาเอบาชิวิชซ์ และสิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่ “สินค้าที่ถูกเสพแล้วจบไป” แต่เป็น “เรื่องเล่าที่ควรส่งต่อไปยังอนาคต” — ผู้เขียนรู้สึกเช่นนั้นอย่างจริงจัง

เพราะมัน “สนุกอย่างมหาศาลในฐานะผลงานบันเทิง” นั่นแหละ

แน่นอนว่า เรื่องที่ทำให้ลืมโลกแห่งความจริงชั่วขณะหนึ่งได้ก็มีความสำคัญ ผู้เขียนเองก็ต้องการแบบนั้นเหมือนกัน

แต่ในขณะเดียวกัน “เรื่องราวที่ทำให้เราอยากเปลี่ยนโลกใบนี้ให้ดีขึ้น” ที่แฝงอยู่ด้วยความจริงใจ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน การสร้างผลงานบันเทิงที่สื่อสารข้อความลึกซึ้งแบบนั้นออกมาได้สำเร็จ — มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ถ้าเนื้อหากลายเป็นแค่ “การวิจารณ์สังคม” ก็อาจจะไม่สามารถสัมผัสใจผู้ชมได้ เพราะคนไม่ได้มาดูอนิเมะเพื่อเรียนวิชาสังคม

แต่มาเอบาชิวิชซ์เต็มไปด้วย บทสนทนาเฉียบคม แอนิเมชันที่น่ารัก สดใส สีหน้าท่าทางเปี่ยมชีวิตชีวา และยังมีจังหวะการเล่าเรื่องที่ทำให้ “อดใจรอไม่ไหวที่จะดูตอนต่อไป”

ขณะเดียวกัน ตัวละครแต่ละคนก็แบกรับความกังวลอย่างจริงจัง เนื้อเรื่องได้นำความรู้สึกเหล่านั้นมาผูกเข้ากับแต่ละตอนอย่างแนบเนียน

และเมื่อถึงจุดปลดปล่อยความอัดอั้นนั้น ก็แสดงออกผ่าน ฉากไลฟ์สุดอลังการด้วย CG ระดับสูง สร้างความประทับใจแบบสุดยอด

เพราะเรื่องนี้ สนุกอย่างมหาศาลในฐานะผลงานบันเทิงจึงสามารถสื่อสาร “ข้อความที่หนักแน่น” ได้อย่างลึกซึ้ง เมื่อเนื้อหาค่อยๆ เปิดเผยความในใจของตัวละคร ความรู้สึกของผู้ชมก็ยิ่งถูกกระทบมากขึ้น และทุกครั้งที่ดูจบตอนหนึ่ง ก็จะรู้สึก “มั่นใจมากขึ้น” ในพลังของเรื่องนี้ การถ่ายทอด “ความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงให้ดีขึ้น” ผ่านผลงานบันเทิง สามารถยกระดับให้เรื่องนั้นกลายเป็น “งานศิลป์ชั้นเลิศ” ได้

มาเอบาชิวิชซ์ คือผลงานที่แสดงให้เห็นสิ่งนั้นได้ชัดเจนที่สุด

ถ้าใครอ่านมาจนถึงตรงนี้แล้วรู้สึกสนใจ — หรือแม้แต่คนที่ยังลังเลสงสัย

ก็อยากให้ลองดูมาเอบาชิวิชซ์สักครั้ง

เพราะคนถัดไปที่ “ดอกไม้ในใจจะเบ่งบาน” อาจเป็นคุณก็ได้

Source: Famitsu