ก่อนที่ Mickey Mouse จะขึ้นมาขับเรือใน Steamboat Willie ตัวของ Walt Disney กับ Ub Iwerks เคยสร้างตัวละคร Oswald The Lucky Rabbit ภายใต้การสั่งการของ Charles Mintz ของ Universal Studios ตัวละครดังกล่าวรับบทนำในอนิเมชั่น 27 ตอน เริ่มต้นในตอนแรกด้วยเรื่อง Trolley Troubles ในปี 1927 ตัวละครดังกล่าวนั้นไม่ได้อยู่ในการครอบครองของตัว Walt Disney แต่ทาง Charles Mintz กับ Universal เป็นคนถือสิทธิ์ของตัวละครดังกล่าวจนถึงปี 2006 และก็เป็นตัวละครตัวนี้อีกที่ทำให้ Walt Disney กับ Ub Iwerks ตัดสินใจไปสร้างตัวละครใหม่ที่ Walt Disney Studios ที่สามารถดังได้พอๆ กับ Oswald ซึ่งตัวละครนั้นก็คือ Micket Mouse นั่นเอง
ในที่สุด Oswald ไม่ได้เป็นตัวละครที่มีความนิยมยาวนานแบบที่ หนูชื่อดังของทาง Disney เป็น และอนิเมชั่นเจ็ดเรื่องของตัวละครตัวนี้ก็หายสาบสูญไปตามกาลเวลา David Bossert อนิเมเตอร์ของทาง Disney เคยเขียนหนังสือชื่อ Oswald The Lucky Rabbit: The Search for the Lost Disney Cartoons ที่ในเล่มมีรายละเอียดเกี่ยวกับฟุตเตจที่หายของ Oswald The Lucky Rabbit และด้วยความโชคดี หนังสือเล่มนี้ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นในการค้นพบอนิเมชั่นเรื่องหนึ่งที่เคยคิดว่าสาปสูญไปแล้ว
Watanabe Yasushi เป็นนักประวัติศาสตร์อนิเมชั่น วัย 84 ปี ที่มีของสะสมที่เขาอุทิศทั้งชีวิตเก็บเอาไว้ เขาได้อ่านหนังสือที่ David Bossert แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเคยซื้อภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเมื่อตอนที่เขาไปเที่ยวโอซาก้าด้วยมูลค่า 500 เยน ตัวหนังถูกขายในชื่อ ‘มิคกี้ มังงะ สปิเดะ (Mickey Manga Spide)’ ตอนที่เขาซื้อมาตอนนั้นเขาก็คิดเพียงว่า ตัวละครไม่ใช่ Mickey Mouse เท่านั้น ก่อนที่เขาจะทราบว่า อนิเมชั่นดังกล่าวคืออนิเมะชั่นเรื่อง ‘Neck ‘n’ Neck’ ภาพยนตร์สั้นที่มี Oswald เป็นตัวละครเอก ซึ่งทางหนังสือพิมพ์ Asahi Shimbun ได้ไปสัมภาษณ์กับทาง Walt Disney Archive ที่ทำหน้าที่เก็บผลงานเก่าๆ ของ Walt Disney ว่าตัวภาพยนตร์สั้นที่ชาวญี่ปุ่นเก็บไว้นั้นเป็นงานที่หายสาปสูญไปจริงๆ
อนิเมชั่นขนาดสั้นเรื่องนี้เดิมทีถูกทำเป็นภาพยนตร์ความยาวห้านาที ก่อนจะถูกตัดต่อให้เหลือเพียงสองนาทีสำหรับการนำมาขายเป็นฟิลม์ 16 มิลลิเมตร สำหรับการรับชมที่บ้าน ตัวฟิลม์ที่ Watanabe Yasushi นั้นเป็นฉบับสองนาที ปัจจุบันนี้ฟิลม์ดังกล่าวถูกเก็บเอาไว้ที่ Kobe Planet Film Archive และตัว ‘Neck ‘n’n Neck’ ถือว่าเป็นภาพยนตร์สั้นของ Oswald The Lucky Rabbit เรื่องที่สองที่ถูกคนพบในญี่ปุ่น ถ้าอ้างอิงจากหนังสือของ David Bossert ได้เคยพบ ฟิลม์ 35 มิลลิเมตร ที่บรรจุภาพยนตร์ความยาว หนึ่งนาที ห้าสิบวินาที ภายในพิพิธภัณธ์ภาพยนตร์ของเล่นในกรุงเกียวโต และเคยมีการพบภาพยนตร์ขนาดสั้นชื่อ ‘Sleighe Beels’ ในคลัง British Film Institute เมื่อปี 2015
ในที่สุด Oswald ไม่ได้เป็นตัวละครที่มีความนิยมยาวนานแบบที่ หนูชื่อดังของทาง Disney เป็น และอนิเมชั่นเจ็ดเรื่องของตัวละครตัวนี้ก็หายสาบสูญไปตามกาลเวลา David Bossert อนิเมเตอร์ของทาง Disney เคยเขียนหนังสือชื่อ Oswald The Lucky Rabbit: The Search for the Lost Disney Cartoons ที่ในเล่มมีรายละเอียดเกี่ยวกับฟุตเตจที่หายของ Oswald The Lucky Rabbit และด้วยความโชคดี หนังสือเล่มนี้ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นในการค้นพบอนิเมชั่นเรื่องหนึ่งที่เคยคิดว่าสาปสูญไปแล้ว
Watanabe Yasushi เป็นนักประวัติศาสตร์อนิเมชั่น วัย 84 ปี ที่มีของสะสมที่เขาอุทิศทั้งชีวิตเก็บเอาไว้ เขาได้อ่านหนังสือที่ David Bossert แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเคยซื้อภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเมื่อตอนที่เขาไปเที่ยวโอซาก้าด้วยมูลค่า 500 เยน ตัวหนังถูกขายในชื่อ ‘มิคกี้ มังงะ สปิเดะ (Mickey Manga Spide)’ ตอนที่เขาซื้อมาตอนนั้นเขาก็คิดเพียงว่า ตัวละครไม่ใช่ Mickey Mouse เท่านั้น ก่อนที่เขาจะทราบว่า อนิเมชั่นดังกล่าวคืออนิเมะชั่นเรื่อง ‘Neck ‘n’ Neck’ ภาพยนตร์สั้นที่มี Oswald เป็นตัวละครเอก ซึ่งทางหนังสือพิมพ์ Asahi Shimbun ได้ไปสัมภาษณ์กับทาง Walt Disney Archive ที่ทำหน้าที่เก็บผลงานเก่าๆ ของ Walt Disney ว่าตัวภาพยนตร์สั้นที่ชาวญี่ปุ่นเก็บไว้นั้นเป็นงานที่หายสาปสูญไปจริงๆ
อนิเมชั่นขนาดสั้นเรื่องนี้เดิมทีถูกทำเป็นภาพยนตร์ความยาวห้านาที ก่อนจะถูกตัดต่อให้เหลือเพียงสองนาทีสำหรับการนำมาขายเป็นฟิลม์ 16 มิลลิเมตร สำหรับการรับชมที่บ้าน ตัวฟิลม์ที่ Watanabe Yasushi นั้นเป็นฉบับสองนาที ปัจจุบันนี้ฟิลม์ดังกล่าวถูกเก็บเอาไว้ที่ Kobe Planet Film Archive และตัว ‘Neck ‘n’n Neck’ ถือว่าเป็นภาพยนตร์สั้นของ Oswald The Lucky Rabbit เรื่องที่สองที่ถูกคนพบในญี่ปุ่น ถ้าอ้างอิงจากหนังสือของ David Bossert ได้เคยพบ ฟิลม์ 35 มิลลิเมตร ที่บรรจุภาพยนตร์ความยาว หนึ่งนาที ห้าสิบวินาที ภายในพิพิธภัณธ์ภาพยนตร์ของเล่นในกรุงเกียวโต และเคยมีการพบภาพยนตร์ขนาดสั้นชื่อ ‘Sleighe Beels’ ในคลัง British Film Institute เมื่อปี 2015
Source: The Asahi Shimbun (Erina Ito), BBC News
Leave a Reply